การฟื้นฟูธรรมชาติและสภาพภูมิอากาศ
ในฐานะแบรนด์สินค้าลักซูรี่อิสระ CHANEL สามารถมีบทบาทเชิงรุกในการฟื้นฟูธรรมชาติและภูมิอากาศของโลก ปกป้องโลกใบนี้และผู้คนที่อาศัยอยู่ พร้อมไปกับการสนับสนุนธุรกิจด้วยมุมมองระยะยาว
ภารกิจของเราคือการจัดลำดับความสำคัญว่าเราสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกมากที่สุดได้จากส่วนใด ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาธุรกิจของเราไปสู่โซลูชันคาร์บอนต่ำ ร่วมมือกับพันธมิตรและซัพพลายเออร์ของเราเกี่ยวกับนวัตกรรมเทคโนโลยีและการจัดหาที่ยั่งยืน และในขณะเดียวกันก็ลงทุนกับวิธีการที่อิงธรรมชาติสำหรับห่วงโซ่อุปทานและภาพรวมทางธุรกิจของเราด้วย เพื่อสนับสนุนการสร้างความเปลี่ยนแปลงไปสู่อนาคตแบบ Net-Zero
ความก้าวหน้าของเรา
Open-Sky Laboratories
เรากำลังสำรวจความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในโลกแห่งความงามผ่าน Open-Sky Laboratories ซึ่งเป็นศูนย์กลางสำหรับการเพาะปลูกพืช การวิจัย และการทดลอง เพื่อสนับสนุนการสร้างสรรค์ส่วนผสมในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางของเรา
ในปี 2005 ห้องปฏิบัติการแห่งแรกได้ถูกก่อตั้งขึ้นที่มาดากัสการ์ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ค้นพบคุณสมบัติในการฟื้นฟูผิวอย่างโดดเด่นของกล้วยไม้ Vanilla planifolia นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ห้องปฏิบัติการเพิ่มเติมได้ถูกจัดตั้งขึ้นในภูฏาน คอสตาริกา โพรวองซ์-แอลป์-โกตดาซูร์ และ โกฌักค์ ประเทศฝรั่งเศส
ภายในพื้นที่ของ Open-Sky Lab ที่โกฌักค์ มีการศึกษาและเพาะปลูกดอกคามิลเลียสีขาว ซึ่งเป็นดอกไม้โปรดของ Gabrielle Chanel ที่บานในฤดูหนาว สวนพฤกษศาสตร์แห่งนี้ปัจจุบันเป็นที่อยู่ของต้น Camellia japonica ‘Alba Plena’ จำนวน 2,700 ต้น Camellia oleifera บนพื้นที่ 15 เฮกตาร์ และต้นการ์ดิเนียอีกกว่า 5,000 ต้น
จากแนวทางการเกษตรที่นำมาใช้ในพื้นที่นี้ ธุรกิจน้ำหอมและความงามของ CHANEL ได้รับฉลากเกษตรอินทรีย์ Agriculture Biologique นอกจากนี้ ฟาร์มในโกฌักค์ยังได้รับการรับรองด้านสิ่งแวดล้อมระดับ 3 HVE (High Environmental Value) ซึ่งสะท้อนถึงแนวปฏิบัติด้านการเกษตรใน 4 ด้านสำคัญ ได้แก่ การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ กลยุทธ์การป้องกันพืชผล การจัดการปุ๋ย และการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ
CHANEL สนับสนุนแนวทางการเกษตรแบบฟื้นฟู
ห้องปฏิบัติการสร้างสรรค์และพัฒนาน้ำหอมของ CHANEL อุทิศตนเพื่อส่งเสริมหลักการของเกษตรกรรมแบบฟื้นฟู เกษตรกรรมแบบฟื้นฟูคือชุดของแนวปฏิบัติที่มุ่งฟื้นฟูสุขภาพของดิน และสนับสนุนระบบนิเวศของฟาร์มอย่างครบวงจร
เพื่อสนับสนุนการนำแนวทางนี้ไปใช้ ห้องปฏิบัติการได้ให้ความรู้เชิงเทคนิคแก่ซัพพลายเออร์ และช่วยเหลือพวกเขาในการขอรับการรับรองมาตรฐานสากล ตลอดระยะเวลากว่า 40 ปี ห้องปฏิบัติการสร้างสรรค์และพัฒนาน้ำหอมของ CHANEL ได้คัดสรรดอกไม้จากแปลงปลูกของแบรนด์ในแคว้นเปย์ เดอ กราสส์ ซึ่งบริหารจัดการโดยครอบครัว Mul ในปี 2024 ฟาร์มแห่งนี้ได้รับการรับรอง Regenerative Organic Certification® อย่างเป็นทางการ 100% ของแปลงเพาะปลูกทั้งหมดได้รับการดูแลตามหลักการของเกษตรกรรมเชิงฟื้นฟู โดยให้ความสำคัญทั้งต่อความสมบูรณ์ของระบบอินทรีย์ สุขภาพของดิน และความเป็นธรรมทางสังคมสำหรับพนักงานทุกคนในฟาร์ม Regenerative Organic Certified® คือมาตรฐานระดับสากลที่ได้รับการยอมรับในด้านเกษตรอินทรีย์ สำหรับการรับรองผลิตภัณฑ์ในกลุ่มอาหาร เส้นใย และส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกาย
นับตั้งแต่ปี 2019 CHANEL ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของ “Pour une Agriculture Du Vivant” (PADV) สมาคมภาคีหลายภาคส่วนที่ส่งเสริมเกษตรกรชาวฝรั่งเศสในการเปลี่ยนผ่านสู่แนวทางเกษตรเชิงฟื้นฟูภายใต้ห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืน ในฐานะสมาชิกของ PADV CHANEL มีบทบาทในการสนับสนุนโครงการความร่วมมือระยะยาว เพื่อส่งเสริมการนำแนวทางเกษตรกรรมเชิงฟื้นฟูมาปรับใช้ในระดับอุตสาหกรรม โดยมุ่งยกระดับผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคมของฟาร์มผู้ปลูกบีทรูทฝรั่งเศส จากการดำเนินงานภายใต้การสนับสนุนของ PADV มีผู้ผลิตจำนวน 75 รายที่ได้ให้คำมั่นในการปฏิบัติตามแนวทางเกษตรกรรมเชิงฟื้นฟูดังกล่าว บีทรูทเหล่านี้นำมาใช้ในการผลิตแอลกอฮอล์ธรรมชาติ ซึ่งถือเป็นส่วนประกอบสำคัญของน้ำหอม CHANEL
นับตั้งแต่ปี 2023 เป็นต้นมา CHANEL ได้จัดหาปริมาณแอลกอฮอล์จากบีทรูททั้งหมดผ่านแนวทาง mass balance approach¹ จากทั้งเกษตรกรที่ได้รับการรับรองแบบออร์แกนิก และผู้ผลิตที่ส่งเสริมหลักปฏิบัติด้านเกษตรกรรมเชิงฟื้นฟู ผู้จัดหาทางการเกษตรและเกษตรกรที่เกี่ยวข้องได้รับการสนับสนุนผ่านกลไก “เบี้ยสนับสนุนเกษตรกรรมเชิงนิเวศ” (Agroecological Premiums) ซึ่งนำมาใช้เป็นเงินทุนเพื่อชดเชยต้นทุนเพิ่มเติมในการเปลี่ยนวิธีการผลิต รวมถึงการให้คำปรึกษาและสนับสนุนทางเทคนิค
¹ Mass balance approach หมายถึง แนวทางที่ CHANEL จัดซื้อแอลกอฮอล์ในปริมาณเทียบเท่ากับที่ได้จากแหล่งผลิตและแปลงเกษตรซึ่งมีแผนปฏิบัติการด้านความยั่งยืนตามเกณฑ์ของ CHANEL แล้ว หรืออยู่ระหว่างดำเนินการ โดยไม่จำเป็นต้องมีการติดตามย้อนกลับแบบแยกตามล็อตจริง
เดินหน้าสานต่อความร่วมมือในห่วงโซ่อุปทานแคชเมียร์
ภายในห่วงโซ่อุปทานแคชเมียร์ CHANEL ได้ทำงานร่วมกับครอบครัวที่เลี้ยงแพะในรูปแบบสหกรณ์ตั้งแต่ปี 2015 ผ่านโครงการแปลงรูปแบบการผลิต เพื่อสนับสนุนการนำวิธีการที่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมมาปรับใช้
โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อทำความเข้าใจระบบนิเวศของชุมชนผู้เลี้ยงแพะ และพัฒนาแคชเมียร์คุณภาพสูงสุดที่ผลิตอย่างยั่งยืนสำหรับผลิตภัณฑ์ของ CHANEL
ฝ่ายแฟชั่นของ Chanel ยังคงขยายการปฏิบัติทางการเกษตรที่ปล่อยคาร์บอนน้อยลงในกลุ่มประชากรผู้เลี้ยงแพะที่บริษัททำงานร่วมด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการจัดการอาหารสัตว์และทุ่งหญ้า ซึ่งในปี 2024 ได้ส่งผลให้มีการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์และยกระดับตัวชี้วัดด้านสิ่งแวดล้อมอื่นๆ
ส่วนต้นของห่วงโซ่อุปทานในผลิตภัณฑ์แฟชั่น Chanel ได้รับการรับรองตามมาตรฐานออร์แกนิกและ Fair for Life ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของอุตสาหกรรมนี้
Net-Zero 2040
ในปี 2024 เราได้ตั้งเป้าหมายที่จะบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ทั่วทั้งห่วงโซ่คุณค่าของเราภายในปี 2040 ซึ่งได้รับการตรวจสอบโดยโครงการริเริ่ม Science-Based Targets (SBTi) ด้วยความทะเยอทะยานในการบรรลุเป้าหมาย Net-Zero ในปี 2040 CHANEL มุ่งมั่นที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขอบเขตที่ 1, 2 และขอบเขตที่ 3 ลง 90% ภายในปี 2040 (จากปีฐาน 2021)
เพื่อรักษาแรงขับเคลื่อนและติดตามความก้าวหน้า เราได้ให้คำมั่นว่าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแบบสัมบูรณ์ (Scope 1 และ 2) ลง 50% ภายในปี 2030 โดยยึดปีฐานคือปี 2021 และลดการปล่อยใน Scope 3 ลง 42% ภายในระยะเวลาเดียวกัน¹
ในการจัดการกับการปล่อยของเรา เรายังคงให้ความสำคัญกับพื้นที่ที่ส่งผลกระทบสูงสุดต่อคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของเรา โดยออกแบบแผนปฏิบัติการเพื่อลดคาร์บอนในระดับผลิตภัณฑ์ ห่วงโซ่อุปทาน กิจกรรมทางธุรกิจ หรือในแต่ละภูมิภาค สิ่งนี้ครอบคลุมถึงการขยายการใช้แนวทางเกษตรกรรมแบบฟื้นฟู การลดคาร์บอนจากการขนส่งและกระบวนการผลิตในห่วงโซ่อุปทาน ตลอดจนการลงทุนในระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน
ในปี 2021 เราได้ขยายขอบเขตการรายงานให้ครอบคลุมถึงซัพพลายเออร์ที่มีความเชื่อมโยงกับแบรนด์ เพื่อสะท้อนคาร์บอนฟุตพริ้นท์อย่างครอบคลุมมากยิ่งขึ้น เรายังคงให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะในขณะที่เรานำกิจการในห่วงโซ่อุปทานเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์ พร้อมรับผิดชอบต่อคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของพวกเขาอย่างเต็มที่
สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางของเราได้ในเอกสาร Net Zero 2040
¹ นอกจากนี้ เรายังได้กำหนดเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในหมวดที่ 3 จากภาคป่าไม้ ที่ดิน และเกษตรกรรม (FLAG) ลง 30.3% ภายในปี 2030 และ 72% ภายในปี 2040 โดยคำนวณจากปีฐาน 2021
พื้นที่โฟกัสของเรา
กลไกขับเคลื่อนความมุ่งมั่นของเราการลงมือร่วมกัน ทั้งภายในและภายนอก
ในการขับเคลื่อนสู่เป้าหมายที่เราตั้งไว้ เราได้รับแรงสนับสนุนจากการลงมือร่วมกัน ทั้งจากภายในและภายนอกแบรนด์ของเรา